The diary of teenage girl
มินนี่สาวน้อยวัยแรกแย้มอายุเพียง 15 ปีเธอเพิ่งตระหนักได้ว่าเธอมีหน้าอกมาแล้ว 3 ปีสิ่งที่เธอโหยหาที่สุดในชีวิตคือความรัก เธอกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เล็กๆอยู่กับแม่ที่ไม่ค่อยเอาไหน ไม่เคยได้รับการสัมผัสร่างกายด้วยความรักจากแม่มาแสนนาน ดังนั้นเธอจึงคอยถามตัวเองเสมอมาว่า มีใครรักฉันบ้างมั้ย
So, maybe nobody loves me. Maybe nobody will ever love me. But maybe it's not about being loved by somebody else. - Minnie
I want someone to be so totally in love with me that they would feel like they would die if I were gone. Maybe Monroe could love me like that. - Minnie
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อเธอได้รับการสัมผัสครั้งแรกจากมอนโรชายผู้เป็นคนรักของแม่ เธอจึงคิดไปต่างๆนาๆว่าเขาต้องชอบเธอและเป็นฝ่ายเข้าหามอนโรด้วยเสน่ห์หา พร้อมที่จะเสียความบริสุทธิ์ให้ เธอแค่ต้องการการยอมรับและเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป จนในที่สุดกลายเป็นว่าเธอขาดผู้ชายไม่ได้เริ่มเสพติด sex อย่างหนัก
ทางออกที่สามารถระบายความคิดของเธอได้คือการบันทึกเสียงลงเทปคาสเซตและการวาดรูป บ่อยครั้งที่เธอจะพูดคุยกับนักเขียนในจินตนาการของเธอ
สำหรับในยุค 70s นั้นขึ้นชื่อเรื่อง free sex และยาเสพติด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มินนี่จะใจแตกไปกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเพราะทั้งแม่ของเธอและเพื่อนก็ต่างถลำไปกับสิ่งเหล่านั้นทั้งสิ้น
หนังเรื่อง The diary of teenage girl สร้างความประทับใจในหลายๆแง่มุมถือว่าเป็นหนังในไม่กี่เรื่องที่ดูมาในปีนี้ที่คิดว่าดีมากๆ
1. Fashion - อันนี้คือสิ่งแรกที่เราสังเกตได้จากเรื่องนี้ กางเกงเอวสูงขาบานกับเสื้อยืดเข้ารูปพอดีเอว เสื้อคอเต่าเข้ารูปคลุมด้วย Jacket ใส่คู่กับรองเท้าบูธหรือจะเป็นเดรสแบบกรุยกรายฉบับสาวยิปซี ทรงผมนั้นมักจะไว้ยาวและปล่อยฟูแบบยิปซีแม้ว่าช่วงปลาย 70s จะเริ่มรับวัฒนธรรมแบบ Punk rock เข้ามาแต่ก็ผสมผสานเข้ากันอย่างเป็นเอกลักษณ์และลงตัว เราเพลินเพลินกับแฟชั่นในเรื่องมากดูแล้วอยากลุกไปแต่งตัวแบบนั้นเลย
2. Soundtrack - หนังยุค 70s จะไม่เปิดเพลงยุค 70s ได้อย่างไร ในหนังจะมีฉากปาร์ตี้เมายาเยอะมากเพลงที่ใช้เปิดจะเป็นสไตล์โฟล์คร็อค พังค์ร็อค ส่วนระหว่างเรื่องเราก็ได้ฟังเพลงช้าฉบับ 70s สไตล์
3. Relation ship - สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ ทุกสิ่งที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องนั้นมาจากครอบครัวทั้งสิ้น เมื่อมินนี่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ เธอจึงเริ่มตั้งคำถามและหาสิ่งเติมเต็ม แม้แต่เพื่อนรักเธอก็ไม่มี โลกทั้งใบของเธอคือห้องนอนและมอนโร ไม่แปลกที่เธอจะชอบจินตนาการในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
มอนโรก็มีปัญหาในเรื่องนี้เช่นกัน แม้ว่าเราจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมอนโรมากนักแต่ก็สัมผัสได้ว่าคนที่คิดจะเข้าใจเขานั้นแทบไม่มีเลย จนกระทั่งได้มาเจอกับมินนี่คนที่เขาคิดว่ารักเธอ
4. Freedom and Art - เราสามารถเห็นอิสระและเสรีได้ทุกอณูของหนังเรื่องนี้รวมถึงศิลปะด้วย
5. Mood & Tone เราต้องขอบคุณที่สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาและเชื่อว่าจะต้องกลับมาดูอีกหลายๆครั้ง หนังเรื่องนี้ลงตัวในทุกๆอย่าง ดูง่ายแฝงแง่คิดเหมาะกับเด็กสาวที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กสาวที่โตมากับครอบครัวที่ไม่อบอุ่น เธอจะรู้ว่ายาเสพติดไม่ใช่ทางออก ผู้ชายก็เช่นกัน :) เราชอบโทนสีของหนังเรื่องนี้พอๆกับ The dreamer สองเรื่องนี้มีอะไรที่คล้ายกัน เราชอบห้องนอนของมินนี่ นี่ล่ะห้องนอนของเด็กสาวช่างเพ้อฝัน หลังดูเรื่องนี้จบคงต้องหาสมุดปากกามาวาดรูปซะแล้ว :)
Comments
Post a Comment