เรื่องเล่าจากใบคราม



ครามพืชมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนโลกเป็นสีฟ้า ฉันเห็นคนเปิด work shop มัดย้อมครามมากมายคอร์สหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าสองพันบาท เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมงซึ่งฉันคิดว่าไม่ค่อยคุ้มนะสำหรับคนที่อยากรู้ที่มาที่ไปของครามอย่างลึกซึ้ง จนวันหนึ่งมีน้องคนนึงแท็กโพสใน Facebook มา เป็นการเปิดรับอาสาสมัครไปเรียนรู้เรื่องการย้อมครามกับครูเอกที่น่านซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ฉันก็ไม่รีรอรีบเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางขึ้นรถทัวร์ไปอำเภอปางกอม จังหวัดน่าน เป็นการตัดสินใจที่เร็วมาก

การเดินทางไปบ้านครูเอกไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะปางกอมอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 90 กิโลเมตรและไม่มีรถโดยสารเข้าถึง ฉันถึงต้องจ้างแท็กซี่เข้าไปสนนราคาอยู่ที่ 400 บาทถ้วน หมู่บ้านที่ฉันไปพักอยู่ติดลาวเป็นชาวไทยลื้อ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทอผ้าและเกษตรกรรม ยิ่งช่วงนี้หน้าฝนวิวทิวทัศน์จะเขียวขจีเป็นพิเศษ

นอกจากครามที่เป็นพืชให้สีฟ้าแล้วยังมีฮ่อมและใบเบิกที่ให้สีฟ้าเช่นเดียวกัน วิธีการทำเนื้อและก่อหม้อไม่แตกต่างกันแค่ระยะเวลาที่ทำจะไม่เท่ากัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะว่าระยะเวลาที่ว่านี้คืออะไร

ไร่ครามที่ครูเอกให้ชาวบ้านปลูก




ใบเบิกที่ให้สีฟ้าเช่นกัน



ต้นฮ่อมที่ขึ้นตามธรรมชาติ เราซื้อจากชาวบ้านโลละ 15 บาท


การเก็บเกี่ยว
ในหนึ่งปีเราสามารถเก็บเกี่ยวครามได้สองรอบอย่างมากสุดคือสามรอบ โดยรอบที่สองจะเป็นช่วงที่เราได้ใบครามที่ดีที่สุด ช่วงที่เราไปเก็บเกี่ยวนั้นเป็นรอบที่หนึ่งกว่าจะเก็บได้อีกรอบต้องรอไปอีกสามเดือน โดยเราจะตัดจากโคนขึ้นมาประมาณหนึ่งฟุตซึ่งส่วนที่ให้สีคือใบ จับเป็นกำหักสามท่อนแล้วมัด ส่วนฮ่อมก็ใช้วีธีคล้ายๆกัน





กระซวกไปเรื่อยๆ ขั้นตอนนี้เหนื่อยมาก

ฟองฟูน่ากิน

การใส่น้ำปูนขาวมีผลต่อสีแต่การตกตะกอน





การทำเนื้อคราม
1.  นำใบครามที่เรามัดใส่ไว้ในถังอัดให้แน่นที่สุด จากนั้นใช้หินทับไว้ใส่น้ำจนท่วมใบคราม แช่ทิ้งไว้    30 ชั่วโมง ส่วนฮ่อมใช้วิธีการเดียวกันแต่จะต้องแช่ไว้ 48 ชั่วโมง
2. เมื่อแช่ครบตามที่เรากำหนดจะสังเกตได้ว่า น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมฟ้าและมีฟองลอยอยู่ด้านบน
3. นำใบครามที่เราแช่ไว้ออกให้หมดให้เหลือเพียงน้ำเท่านั้น
4. นำปูนขาวละลายน้ำ โดยใช้อัตราส่วนน้ำ 1 ปี๊บใช้ปูนขาว 4 ขีด เมื่อละลายเสร็จกรองให้เหลือแต่น้ำ
5. ค่อยๆเติมน้ำปูนขาวลงในถังคราม โดยใส่ทีละนิดและกระซวกจนเป็นฟองใส ถ้าใส่น้ำปูนเยอะเกินไปก็จะไม่เกิดตะกอนเนื้อคราม ดังนั้นเราจึงต้องคอยสังเกตสีและฟองของน้ำคราม
6. ดูดเอาน้ำออกให้หมด จากนั้นกรองเนื้อครามโดยใช้ผ้าขาวบางวางรองบนตะกร้า ทิ้งไว้สองวันจนเหลือแต่เนื้อครามจึงนำไปก่อหม้อได้


กรองทิ้งไว้สองคืนเพื่อให้เหลือแต่เนื้อครามเท่านั้น


หม้อครามที่เราโจกเสร็จ

การโจกคราม

การก่อหม้อ
1. ใช้เนื้อคราม 1 กิโลกรัม ใส่ในภาชนะที่เราก่อจะเป็นอ่าง ตุ่มแล้วแต่สะดวก
2. น้ำขี้เถ้า 3 ลิตร
3. น้ำปูนขาว 200 กรัม
4. น้ำมะขามเปียก 200 กรัม ถ้ามีเมล็ดให้บวกน้ำหนักเมล็ดไปด้วย นำไปขย้ำกับน้ำอุ่น
5. นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากัน จากนั้นให้โจก (คือการตักแล้วเทสูงๆ) ให้เป็นฟองทุกวันจนน้ำเป็นสีเหลือง ฮ่อมจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้เร็วกว่าคราม
6. จากนี้ก็จะเป็นวิธีการเลี้ยงครามซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคและประสบการณ์ของแต่ละคน สีที่ได้ในแต่ละหม้อจึงแตกต่างกันออกไป อาจจะเติมน้ำตาลทุก 2-3 วัน หรือจะเป็นผลไม้ก็ได้

การก่อหม้อครามเป็นเรื่องละเอียดอ่อนซึ่งฉันก็ยังไม่เข้าใจถึงขั้นตอนนี้เพราะต้องอยู่กับมันทุกวันและลองย้อมอย่างจริงจัง บางคนถึงกับต้องเก็บเป็นความลับเพราะเกิดจากการเรียนรู้ของตัวเองทั้งสิ้น

หลังจากที่ฉันไปอยู่ที่บ้านครูเอกสามวันสองคืนนั้นทำให้รู้ว่าการที่จะมีเสื้อครามสวยๆใส่นั้นมันแสนจะยากเย็น ไหนจะปลูกเก็บเกี่ยว ทำเนื้อคราม ก่อหม้อ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนใช้แรงงานทั้งสิ้นถ้าใจไม่รักพอก็คงทำไม่สำเร็จ แถมได้เล็บสีน้ำเงินมาเป็นที่ระลึก

นอกจากจะได้ไปเรียนทำครามแล้วฉันยังได้ไปดูชาวบ้านทอผ้าตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ จริงๆก็เรียนมาแต่เป็นในทางของอุตสาหกรรมมากกว่า พอไปอยู่ในจุดนั้นก็กลับมาคิดว่าเราสามารถจะต่อยอดทำอะไรได้บ้างอาจจะไม่ได้ทำผลิตภัณฑ์จากคราม แต่ฉันมองไปในจุดที่ฉันสามารถผลักดันงานในชุมชนได้อย่างไรเพราะงานฝีมือมีอยู่ทุกที่ในไทย เราจะสามารถสร้างงานและเงินให้ชุมชนของเราได้โดยวิธีไหน

จริงๆตอนนี้ก็เริ่มทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะ แต่คิดว่าจะเป็นรูปเป็นร่างประมาณปีหน้า รอชมเด้อ :) เมื่อคิดแล้วก็ต้องรีบทำ




ขอปิดท้ายด้วยรูปอาหารที่เราทำเองกินเองจากพืชผักรอบตัว อร่อยลื้มมมม เพราะเหนื่อยและหิวมากทุกวัน




Comments