Vietnam in film : Sapa
ซาปาเมืองที่ใครๆก็ต่างตกหลุมรัก เราตั้งใจจะมา countdown กันที่เมืองนี้ หลังจากที่นั่งรถบัสแบบนอนมาประมาณห้าชั่วโมงเราก็จึงจุดหมาย ยังไม่ทันตั้งตัวความหนาวก็เข้ามาปะทะร่างกายในอุณหภูมิ 8 องศาเซลเซียส เสื้อผ้าที่เตรียมมาไม่สามารถทำให้ร่างกายอุ่นได้มากนัก หมอกลงหนาฝนที่ตกปรอยๆบวกกับความหิว เราจึงมุ่งหน้าหาร้านอาหารก่อนเป็นอันดับแรก มื้อนี้ถือเป็นมื้อพิเศษเพราะเราได้กินหม้อไฟเนื้อกบ!! อยากบอกว่าอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อแถมยังทำให้ร่างกายเราอบอุ่นพร้อมที่จะเดินไปยังโรงแรมที่เราจองไว้
ซาปาทำให้เรานึงถึง Gangtok ของอินเดียเพราะสร้างบ้านลงไปตามไหล่เขา ทำให้มีความรู้สึกเหมือนเป็นชั้นใต้ดินแต่ที่นี่การจราจรไม่วุ่นวายเท่า เราชอบเมืองนี้มากๆเพราะตอนแรกคิดว่าคนจะมา Countdown เยอะแน่ๆ แต่คนไม่ได้เยอะจนเรารู้สึกอึดอัด เราเจอคนไทยด้วยซ้ำ
ซาปาเป็นเมืองโรแมนติก เพราะอากาศที่หนาว หมอกที่ลงหนา วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เราสามารถเดินสำรวจเมืองได้สบายๆ แวะเข้าซอยนี้เพื่อไปออกซอยนั้นสนุกดี บางมุมของที่นี่ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังอยู่ในหนังย้อนยุคสักเรื่อง ยิ่งเป็นตอนเย็นแล้วเมืองนี้ยิ่งโรแมนติกขึ้นไปอีกเป็นสองเท่า
ซาปามีร้านอาหารน่ารักและอร่อยเยอะมาก เราได้เจอร้านเบเกอรี่ที่อร่อยและถูก บรรยากาศเหมือนอยู่ญี่ปุ่น เราได้เจอร้านนั่งดริ้งที่มีเตาผิงไฟที่ทั้งร้านมีแต่ฝรั่งและมีเกมส์สนุกๆ เพลงสากลเก่าๆให้ฟังเหมือนเรากำลังอยู่ในผับยุค 60 แถมเราได้เจอร้านที่ทำจากดิน มีเบียร์ดำให้เรากินในคืนที่หนาวมากแถมไฟดับจนไม่สามารถเดินออกไปไหนได้
ซาปาเราเจอคู่รักมากมายหลายเชื้อชาติ ทุกคนดูมีความสุขแม้ว่าวันนี้ฝนจะตก หมอกจะหนา ถนนจะเปียก
ซาปามีร้าน street food ตอนกลางคืนสำหรับคนเพิ่งกินเบียร์มากรึ่มๆแล้วต้องการสร่างเมา มีทั้งปิ้งย่าง ไข่ข้าว โจ้ก แต่ละอย่างได้กินแล้วฟินมากเพราะช่วยคลายหนาวไปในตัวแถมราคาไม่แพง
การเดินสำรวจหมู่บ้าน Cat Cat ไม่เหนื่อยเท่าไหร่แค่ก้าวเท้าไม่ค่อยไหวเพราะเราเดินย้อนจากทางที่เขาให้เดินทำให้เราต้องเดินขึ้นเขาแทนลงเขา แต่ตลอดสองข้างทางก็สวยดีนะเป็นเพราะความโชคดีที่ตอนนั้นหมอกยังไม่ลงจัด ระหว่างทางเราจึงได้ฟังเพลงฮิปฮอปของเวียดนามที่ทำให้เราโยกได้แบบไม่รู้ตัว ได้พูดคุยกับคนเวียดนามที่สงสัยบางเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย ได้สูดหายใจลึกๆกับอากาศบริสุทธิ์ที่หาไม่ได้ในกรุงเทพแค่นี้ก็คุ้มสุดๆกับค่าเข้า 40,000 ดองแล้ว
สุดท้ายคือการ Trekking ไปหมู่บ้านลาวไกที่ตอนแรกคิดว่าชิวๆ เดินไปถ่ายรูปไปแต่ผิดคาดเมื่อทางที่เราเจอตลอดสิบกิโลคือดินโคลนที่เละ แฉะ ลื่น ชัน ทุกอย่างรวมอยู่ด้วยกันหมด ในขณะที่คนอื่นใส่รองเท้าบูธ เราคนไทยสามคนกลับใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ผลที่ได้คือรองเท้าของเราเละไม่เป็นท่าแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคเพราะยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ มันทำให้เราคิดได้ว่าถ้าแลกกับประสบการณ์ที่เราได้แล้วนั้นแค่รองเท้าคู่ละไม่กี่พันเลอะมันคุ้มกว่ากันมาก เอาจริงๆแล้วเราแวะดูวิวได้ไม่นานยังไม่ทันได้ซึมซับ เราก็ต้องรีบเดินซะแล้ว เมื่อหันหลังกลับไปดูทางที่เราเดินผ่านมาก็ยิ่งภูมิใจในตัวเองที่ได้ก้าวผ่านขีดจำกัดของตัวเองมาได้
Comments
Post a Comment